สำหรับโรคติดเชื้อไวรัสอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือไข้เลือดออก โรคนี้ทำให้มีการรั่วของผนังหลอดเลือดจึงทำให้ร่างกายต้องการเกล็ดเลือดจำนวนมากขึ้นเพื่อไปอุดรูรั่วไม่ให้ของเหลวไหลออกจากเส้นเลือดมาก ร่างกายก็ขาดเลือดและเลือดข้นเนื่องจากปริมาตรของน้ำเลือดมากขึ้นเมื่อเทียบกับเม็ดเลือด หัวใจจึงทำงานหนักเพื่อปั๊มเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆให้ทัน จนอาจทำให้หัวใจหรือไตล้มเหลวได้
สำหรับข่าวที่ดาราดัง “ปอ” ทฤษฎี สหวงษ์ ป่วยเป็นไข้เลือดออกถึงกับต้องตัดขา ก็เนื่องมาจากร่างกายสูญเสียของเหลวในเส้นเลือด ทำให้ปริมาตรของน้ำเลือดลดลง หัวใจปั๊มเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายไปเพียงพอ เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและสารอาหารจึงเกิดการเน่าติดเชื้อ แพทย์จึงต้องตัดขาออก ซึ่งในทางทฤษฎีเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกมีหลายชนิด เมื่อเราได้รับเชื้อไวรัสไข้เลือดออกชนิดใดชนิดหนึ่ง ร่างกายจะสร้างแอนติบอดีจำเพาะต่อไวรัสชนิดนั้นขึ้นมา เมื่อเราได้รับเชื้อไวรัสไข้เลือดออกชนิดเดียวกันในครั้งต่อไป เราก็ไม่เป็นไข้เลือดออกเนื่องจากแนติบอดีไปทำลายเชื้อไวรัสนั้นได้ แต่หากเราได้รับเชื้อไวรัสไข้เลือดออกต่างกันอีกชนิดหนึ่ง แอนติบอดีไม่สามารถทำลายเชื้อไวรัสนั้นได้ แต่แอนติบอดีกลับไปเกาะกับเชื้อไวรัสเป็นก้อนแปลกๆลอยไปมาในเลือด เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเห็นก้อนแปลกๆมันก็พยายามเข้าไปกำจัดก้อนนั้นโดยหลั่งสารออกมาทำลาย แต่สารนั้นกลับทำลายหลอดเลือดด้วยเช่นกันคือผนังหลอดเลือดโดนลูกหลงในสงครามชีวภาพระหว่างภูมิคุ้มกันกับไวรัส เมื่อหลอดเลือดถูกทำร้ายมันจึงกลายเป็นรู ปล่อยให้ของเหลว(พลาสม่า)ในเลือดรั่วออกมา เมื่อผนังหลอดเลือดเป็นรูรั่วร่างกายจึงตอบสนองโดยการนำเอาเกล็ดเลือดมาอุดรูรั่ว ดังนั้นคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคไข้เลือดออกจึงห้ามกินแอสไพรินหรือยากลุ่ม NSAIDs ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของหลอดเลือด เมื่อไข้ดำเนินมาเรื่อยๆคนไข้จะมีการตกเลือดในทางเดินอาหาร มีผื่นแดงที่ผิวหนัง อาเจียนสีคล้ำเหมือนเกาเหลาน้ำตก เมื่ออาการของโรคมาถึงระยะท้ายๆ คนไข้จะมีไข้ลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากร่างกายมีภาวะเลือดรั่วออกจากหลอดเลือดมาก ต้องอุดรูรั่วด้วยเกล็ดเลือดจำนวนมาก จนมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ น้ำเลือดที่ออกมากส่งผลให้เลือดหนืดข้น ไหลเวียนลำบาก หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อบีบเลือดที่มีปริมาตรน้อยให้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆให้ทัน สุดท้ายหัวใจจะวายเพราะทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้อวัยวะต่างๆขาดเลือด ทำงานไม่ได้ เรียกว่าภาวะช็อค อวัยวะต่างๆที่ขาดเลือด ทำงานไม่ได้ ตามไปตามหัวใจเช่นไตวาย ปัจจุบันการแพทย์แบบแผนไม่มียารักษาโรคนี้ได้ จึงรักษาตามอาการเช่น ให้เกล็ดเลือด สารน้ำ เพื่อรักษาการไหลเวียนของเลือด แล้วรอให้คนไข้ฟื้นตัวเอง โดยหมอ จะดูแลว่าเลือดข้น( Hct) ไปก็เติมน้ำเลือด หรือเกล็ดเลือดต่ำก็ให้เกล็ดเลือดไปอุดรูรั่วของหลอดเลือด
ซึ่งหากเราย้อนกลับมาพิจารณาแนวทางที่ผมใช้ต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกจะเห็นว่า คาวตองฯ ไปทำงานต้นทางของปัญหาคือ ช่วยให้ไขกระดูกผลิตและปลดปล่อยสเต็มเซลล์มากขึ้น ในภาวะติดเชื้อไวรัสต่างๆ สเต็มเซลล์จะได้รับสัญญานจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง(Differentiate) ไปเป็นเกร็ดเลือดและ เซลล์นักฆ่า(Natural Killer Cell) ซึ่งเป็นเซลล์สองชนิดที่ร่างกายใช้รักษาโรคติดเชื้อไข้เลือดออก โดยเกร็ดเลือดที่เพิ่มขึ้นจะไปอุดรูรั่วที่เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันด้านลบที่มาจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก ส่วนเซลล์นักฆ่า มีหน้าที่เฉพาะในการทำลายเชื้อไวรัส หากทั้งเกร็ดเลือดและเซลล์นักฆ่าทำงานได้ผล ก็เท่ากับหยุดผลร้ายที่เกิดจากไข้เลือดออกได้โดยไม่ต้องเติมเกร็ดเลือด ผ่าตัดเอาขาที่ติดเชื้อทิ้ง หรือจนผู้ป่วยต้องเสียชีวิตไปในที่สุด เคยมีผู้ที่ไปบริจาคเลือดเป็นประจำที่ โรงพยาบาลอย่าสม่ำเสมอได้กิน คาวตองฯ แล้วไปบริจาคเลือดตามปกติ ปรากฏว่าจำนวนเกร็ดเลือดที่ไปบริจาคมีปริมาณมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้กิน แต่หลังจากเพิ่มปริมาณการกิน คาวตองฯ เป็นครั้งละ 2 แคปซูลนาน 1 เดือน ร่างกายกลับแข็งแรงกว่าปกติ ทำงานหนักได้โดยพักผ่อนไม่นาน ตื่นตีสองครึ่งทุกวันไม่มีวันหยุด นอกจากนี้ปริมาณเกร็ดเลือดที่บริจาคแต่ละครั้ง สามารถแบ่งไปให้ผู้ป่วยได้เท่ากับ 12 ยูนิตหรือเท่ากับที่ได้รับจากผู้บริจาคทั่วไปถึง 12 คน โดยปริมาณเกร็ดเลือดที่วัดได้มากในการบริจาคทุกเดือนนี้ เป็นต่อเนื่องมาถึง 4 เดือนแล้ว
ดังนั้นในเคสการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกก็น่าจะมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจและมีประโยชน์ในการนำไปใช้ในภาคปฏิบัติกับสาธารณชนต่อไปในอนาคต เนื่องจากสามารถช่วยคนได้ในวงกว้าง ประหยัดและสะดวกในการทำงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่า คาวตองฯ มีปะสิทธิภาพในการเพิ่มจำนวนเกร็ดเลือดได้ดีมาก หรือในกรณีโรคระบาดใหม่ที่สร้างความตระหนกตกใจทั่วโลกเช่นไวรัสอีโบล่า ผมกับทีมงานก็เคยบริจาค คาวตองฯ ไปให้ทางประเทศเซียร่าเลโอน โดยบริจาคผ่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยเซียร่าเลโอน พิธีมอบส่งสมุนไพร คาวตองฯ ได้ทำเมื่อ 3 สิงหาคม 2557 โดยมีคนไทยที่ทำงานที่เหมืองทองในประเทศเซียร่าเลโอนช่วยเหลือด้านการประสานงานตลอดเวลา ในช่วงนั้นทาง WHO ก็ประกาศขอรับความช่วยเหลือจากประเทศต่างๆทั่วโลกให้ส่งยาหรือสมุนไพรเข้าไปโดยไม่ต้องมีการผ่านขั้นตอนตรวจสอบความปลอดภัยเข้มข้นตามขั้นตอนปกติของ UN และ WHO ซึ่งมีประเทศที่บริจาคยาและสมุนไพรเข้าไปช่วยเหลือประชาชนเซียร่าเลโอนในครั้งนั้นรวม 21 ประเทศ การทดสอบคู่ขนานถึงประสิทธิภาพของยาและสมุนไพรต่อเชื้อไวรัสอีโบล่า ได้ทำการทดลองที่ศูนย์ของ UN ที่ประเทศกินี ซึ่งผลปรากฏว่า มีเพียง คาวตองฯ จากประเทศไทยที่ผมและทีมงานเพียงชนิดเดียวที่ใช้ได้ผลต่อเชื้อไวรัสอีโบล่า ส่วนผลในพื้นที่จริงก็มีรายงานจากคนไทยผู้ประสานงานและนายแพทย์ที่โรงพยาบาลในเมืองฟรีทาวน์ ได้โทรศัพท์มาคุยกับผมหลายครั้งว่า คาวตองฯ ของเราช่วยให้ผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบล่าได้ดีและเร็วมาก โดยใช้เวลา 3-4 วัน ผู้ติดเชื้อก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติดีแทบทุกราย
ในกรณีโรคติดเชื้อ HIV จนกลายเป็นโรคเอดส์ เป็นเรื่องท้าทายวงการแพทย์มานานนับกว่าสามสิบปี ทั่วโลกได้ทุ่มเทความพยายามหาหนทางรักษาเอดส์ด้วยเงินทุนมหาศาล ในขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความของผมอยู่ในขณะนี้ วงการแพทย์ก็ได้ให้ข้อสรุปต่อโรคเอดส์ว่า “ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการรักษาโรคเอดส์ได้” แต่ในโลกของวิทยาศาสตร์มีคำกล่าวที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ทฤษฎีทั้งหลาย ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง” ในวงการแพทย์กระแสหลักเราเคยผจญกับไข้ทรพิษหรือโรคห่าทำให้คนทั่วโลกล้มตายหลายร้อยล้านคน แต่ปัจจุบันจะเห็นว่าโรคไข้ทรพิษก็หมดไปจากโลกแล้ว
ติดต่อรายละเอียด
Tel. 081 4726987 (Dtac); 081 1639887(Ais)
email: panu009@gmail.com
https://web.facebook.com/chiangmaiassetworld/
Line Id: panu0010