มะเร็งเป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ แบ่งตัวและเจริญอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นเนื้องอกร้าย และรุกรานอวัยวะข้างเคียงจนเกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้นๆและทั่วร่างกาย
โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1-4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะอาจแบ่งย่อยได้อีก ส่วนมะเร็งระยะศูนย์ ยังไม่จัดเป็นมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์มีเพียงลักษณะเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกรานเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง
ระยะที่ 0 : เซลล์มีลักษณะเป็นมะเร็ง มีจำนวนน้อยมาก (อัตราอยู่รอดที่ 5 ปี ภายหลังการรักษาระยะนี้ คือ 90-95%)
ระยะที่ 1 : ก้อนเนื้อ/แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม (อัตราอยู่รอดที่ 5 ปี ภายหลังการรักษาระยะนี้ คือ 70-90%)
ระยะที่ 2 : ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/อวัยวะ (อัตราอยู่รอดที่ 5 ปี ภายหลังการรักษาระยะนี้ คือ 70-80%)
ระยะที่ 3 : ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง อวัยวะ (อัตราอยู่รอดที่ 5 ปี ภายหลังการรักษาระยะนี้ คือ 20-60%)
ระยะที่ 4 : ก้อน/แผลมะเร็งขนาดโตมาก และ/หรือลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง จนทะลุ และ/หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ/หรือมีหลากหลายต่อม และ/หรือแพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ/หรือหลอดน้ำเหลือง/ กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ/ อวัยวะที่อยู่ไกลออกไปเช่น ปอด ตับ สมอง ไขกระดูก (อัตราอยู่รอดที่ 5 ปี ภายหลังการรักษาระยะนี้ คือ 0-15%)
โดยปกติร่างกายจะเกิดเซลล์ที่ผิดปกติจากการแบ่งตัวมากมายมหาศาลราว 2-4 หมื่นล้านเซลล์ในแต่ละวันตลอดเวลา ในทางการแพทย์แล้วการแบ่งตัวของเซลล์จะมีความแม่นยำมาก เซลล์ลูกหลานที่เกิดขึ้นใหม่จะมีลักษณะตรงกันกับเซลล์แม่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ในความเป็นจริงเซลล์ที่แบ่งตัวเกิดใหม่ทั้งหลายเหล่านี้จะมีการผิดพลาดเกิดขึ้นได้ประมาณ 1 ในล้านส่วนเสมอ หมายความว่า เซลล์ลูกหลานที่เกิดขึ้นใหม่ล้านเซลล์ก็จะมีเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์เพี้ยน เซลล์ภูมิแพ้หรือเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น 1 เซลล์เป็นประจำ ดังนั้นภายในตัวเราจึงมีโอกาสเกิดเซลล์มะเร็งวันละ 2-4 หมื่นเซลล์ทุกวัน ตามอัตราส่วนที่เกิดเซลล์ใหม่ข้างต้น ไม่นับจำนวนเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นจากการชักนำของสารพิษก่อมะเร็งที่เรานำเข้าสู่ร่างกายของเจ้าของในรูปแบบต่างๆทุกวัน แต่ระบบภูมิคุ้มกันที่ซับซ้อนของเราจะคอยควบคุมและกำจัดเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นไม่ให้สะสมเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนเกิดโรคมะเร็งตลอดเวลา ดังนั้นคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจึงไม่เป็นมะเร็ง ยกตัวอย่างที่ชัดเจนคือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell(Natural Killer Cell)หรือเซลล์นักฆ่าที่เป็นกลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวกลุ่มย่อยๆหลายชนิด ต่างก็มีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็ง ไวรัสและเซลล์แปลกปลอมทั้งหลายโดยธรรมชาติ ตามภาพเคลื่อนไหวต่อไปนี้ คือ https://www.youtube.com/watch?v=HNP1EAYLhOs ดังนั้นหากร่างกายมีจำนวน NK Cell มากและทำงานเก่ง(NK Cell Activity) จำนวนเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นใหม่หรือสะสมอยู่บ้าง ก็จะถูกกำจัดออกไปได้เรื่อยๆ สารสกัดธรรมชาติที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสเต็มเซลล์ที่ผู้เขียนจะขอเรียกเป็น คาวตองฯซึ่งที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเรากินคาวตองฯไปกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตสเต็มเซลล์และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็น เม็ดเลือดขาว NK Cell ที่มีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งได้นี้ แม้ว่าเรายังไม่เข้าใจกลไกการออกฤทธิ์ทั้งหมดของคาวตองฯเหมือนกับกรณีที่วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจกลไกการทำงานของยาพาราเซตามอลที่ใช้แก้ไข้ ลดปวดที่ใช้กันมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่า กลไกการทำงานเพื่อแก้ปวดเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกลไกการออกฤทธิ์ในระดับโมเลกุล ทั้งๆที่พาราเซตามอลสังเคราะห์และนำมาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2416 และมีจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2498 เป็นต้นแล้ว ในท้ายบทความนี้ ท่านอาจลองใช้วิจารณญาน ของตัวท่านเองและสืบค้นข้อมูลอื่นๆมาช่วยการตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง
มะเร็ง หรือทางการแพทย์ว่า เนื้องอกร้าย เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ คือ เซลล์จะแบ่งตัวและเจริญอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นเนื้องอกร้าย และรุกรานร่างกายส่วนข้างเคียง มะเร็งอาจแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนที่อยู่ห่างไกลได้ผ่านระบบน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด ไม่ใช่ว่าเนื้องอกทุกชนิดจะเป็นมะเร็ง เพราะเนื้องอกไม่ร้ายไม่ลุกลามอวัยวะข้างเคียงและไม่กระจายไปทั่วร่างกาย มีมะเร็งที่ส่งผลต่อมนุษย์ที่ทราบแล้วกว่า 200 ชนิด จริงๆแล้วก็ยังไม่มีคำจัดความใดๆเพียงหนึ่งคำจำกัดความที่จะบอกเรื่องมะเร็งได้ ลักษณะหลายประการของเนื้องอกที่พบเช่นมันสามารถส่งสัญญานเพื่อการขยายเซลล์ของมันได้อย่างต่อเนื่อง เจริญไปรุกรานเซลล์ที่อยู่ข้างเคียง ทนทานไม่ยอมหมดอายุเหมือนเซลล์ทั่วไปโดยมีความสามารถที่จะขยายเผ่าพันธุ์แบบไม่ยอมตาย มันเหนี่ยวนำให้มีการสร้างเส้นเลือดงอกขึ้นมาใหม่ และมีการรุกรานและกระจายตัวออกไปได้เรื่อยๆ เหล่านี้ก็เป็นลักษณะที่เราพบได้ในมะเร็งโดยทั่วไป มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมถึง 90-95% มีเพียง 5-10% เท่านั้นที่เป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อมที่เป็นเหตุให้คนเป็นมะเร็งเสียชีวิตเช่น การสูบบุหรี่(25-30%) การติดเชื้อก่อโรค(15-20%) รังสีต่างๆ(10%) ทีเหลือเกิดจากความเครียด การขาดการออกกำลังกายและมลพิษ มันแทบเป็นไปไม่ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุก่อมะเร็งในแต่ละคน เพราะมะเร็งเกิดจากสาเหตุรวมๆกันหลายอย่างมาก ยกตัวอย่างถ้าคนสูบบุหรี่เขาก็มีโอกาสเป็นมะเร็งปอด ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่มะเร็งปอดของเขาอาจเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่คนทุกคนก็อาจมีโอกาสเกิดมะเร็งปอดได้นิดหน่อยจากมลภาวะในอากาศหรือรังสีต่างๆซึ่งคนนั้นก็อาจเป็นมะเร็งปอดจากสาเหตุเล็กน้อยนั้นก็ได้
มะเร็งสามารถตรวจพบได้หลายวิธี รวมทั้งการมีอาการและอาการแสดงบางอย่าง การตรวจคัดกรองโรค หรือการสร้างภาพทางการแพทย์ เมื่อตรวจพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งแล้ว จะมีการวินิจฉัยโดยการตรวจตัวอย่างเนื้อเยื่อด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยปกติ มะเร็งรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีบำบัดและการผ่าตัด โอกาสการรอดชีวิตของโรคมีหลากหลายมากขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็งและขอบเขตของโรคเมื่อเริ่มต้นการรักษา มะเร็งสามารถเกิดในบุคคลทุกช่วงอายุ แต่ความเสี่ยงการกลายเป็นมะเร็งนั้นโดยปกติจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ยกเว้นมะเร็งน้อยชนิดที่พบมากกว่าในเด็ก ในปี 2550 มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์ 13% ทั่วโลก (7.9 ล้านคน) อัตรานี้เพิ่มสูงขึ้นเพราะมีผู้รอดชีวิตถึงวัยชรามากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตครั้งใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนา ประเทศไทยพบมะเร็งปอดมากที่สุดรองลงมาคือโรคมะเร็งตับ ส่วนผู้หญิงพบมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม
ในปี พ.ศ. 2553 สถิติมะเร็งที่พบมากที่สุด 10 อันดับแรกในประเทศไทย ในชายพบมะเร็งหลอดลมและมะเร็งปอด 23.6 % ในหญิงพบมะเร็งเต้านม 47.8% ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในโลกที่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมเช่น เจ้าหญิงวิคตอเรีย พระราชกุมารี อิงกริด เบอร์กแมน หรือมาเรียนาแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสเปนฯ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ท่านที่เคราะห์ร้ายจากโรคมะเร็งเป็นผู้มีชื่อเสียง มีฐานะมั่นคงด้านการเงิน สามารถแสวงหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในสาขาวิชาการมารักษาเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถรักษามะเร็งของท่านให้หายได้ เราลองมาจินตนาการถึงว่าเมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ตกและมีคนตายด้วย คงเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับแน่นอน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นและทำให้คนตายเหมือนเครื่องบินโดยสารตกวันละ 8-10 ลำทุกวันแต่คนเหล่านั้นตายด้วยโรคมะเร็ง คนอเมริกาป่วยด้วยโรคมะเร็งทุกปีๆละ 2 ล้านคน หนึ่งในสามคนของพวกเราถูกโจมตีด้วยโรคมะเร็งสักหนึ่งครั้งตลอดช่วงอายุของเรา แม้ว่าเราจะอาศัยอยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา การแพทย์ตะวันตกยังไม่สามารถเข้าใกล้วิธีการ “รักษาโรคมะเร็งให้หายขาด” ได้เลย ในขณะที่โรคมะเร็งระบาดไปทั่วทั้งโลก สถิติการเป็นมะเร็งได้กลายเป็นสิ่งที่พูดแทนมะเร็งเหล่านี้เองว่า
-
-
-
- ต้นปี ค.ศ. 1900(พ.ศ.2443) มีคน 1 ใน 20 คน ร่างกายมีสัญญานป่วยเป็นมะเร็ง
- ประมาณปี ค.ศ. 1940(พ.ศ. 2483) มีคน 1 ใน 16 คน ร่างกายมีสัญญานป่วยเป็นมะเร็ง
- ประมาณปี ค.ศ. 1970(พ.ศ. 2513) มีคน 1 ใน 10 คน ร่างกายมีสัญญานป่วยเป็นมะเร็ง
- ปัจจุบัน สถิตินี้คือ มีคน 1 ใน 3 คน ร่างกายมีสัญญานเป็นมะเร็ง
-
-
สำหรับประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 2557 จำนวน 47,086 คน มากกว่าโรคระบาดที่ไม่ติดต่ออื่นๆคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด(29,689 คน) โรคเบาหวาน (6,114 คน) และโรคถุงลมโป่งพองและปอดอุดกั้นเรื้อรัง (1,619 คน)[i]
ข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค(CDC)สหรัฐอเมริกาบอกเราว่า ในปี 2556 มีคนราว 1 ล้านหกแสนคน ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยมะเร็ง หากคนตายจากโรคมะเร็งลดลง(ตามข่าว)แต่ทำไมคนป่วยด้วยมะเร็งกลับเพิ่มจำนวนขึ้น คำตอบในเรื่องนี้ง่ายมาก สงครามต่อสู้กับโรคมะเร็งที่ผ่านมา กว่า 40 ปี เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างน่าตลก เป็นเรื่องความโหดร้ายของวงการยานานาชาติ
ยาเคมีรักษามะเร็ง การฉายรังสี ค่าตรวจวินิจฉัยและการผ่าตัด ค่ารักษามะเร็งมาตรฐานที่ผู้ป่วยจ่ายประมาณ 1 ล้าน 6 แสนบาท ยาเคมีบำบัดสำหรับมะเร็งเป็นยาที่แพงที่สุดในบรรดายาที่ใช้รักษาโรคทั้งหลาย ค่ายาต่อเดือนอยู่ในช่วง 9.6 หมื่นถึง 2.24 แสนบาทต่อเดือน
ยุทธวิธีวิธีป้องกันมะเร็ง
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งที่คุณสามารถทำได้ อย่ารอจนกว่าจะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งจึงค่อยทำ คุณต้องเริ่มทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ การป้องกันมะเร็งนั้นง่ายกว่าการรักษามากนัก ผมเชื่อว่าคุณสามารถขจัดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังได้โดยสิ้นเชิง และยังช่วยพัฒนาโอกาสที่จะหายจากโรคมะเร็งได้ถึงรากถึงโคนหากคุณมีมะเร็งอยู่ในตัว
ความเห็นที่ตรงกันจากทุกมุมโลกก็คือ วิธีป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งง่ายกว่าการรักษามะเร็ง แม้ว่าการปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตจะเป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด เช่นการเปลี่ยนจากการนั่งทำงานในสำนักงานเกือบทั้งวันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงในการต่อสู้กับมะเร็งได้ดีขึ้น(https://www.youtube.com/watch?v=UM2f-qFZV3o ) แต่ก็เป็นวิธีที่ทำได้ยากที่สุดด้วยเช่นกัน เนื่องจากกว่าที่จะเกิดเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็ต้องทำมานานหรือฝึกทำโดยจิตใต้สำนึกมานาน การปรับแก้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องใช้เวลานานกว่าจะฝืนใจทำได้ ผมมีความเห็นว่าระหว่างการปรับพฤติกรรมการดำรงชีวิตเพื่อต่อสู้กับมะเร็ง คงต้องใช้การแพทย์ทางเสริมเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพมาใช้ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งก็เข้ากับหลักการบำบัดด้วยระบบภูมิคุ้มกันที่มีการศึกษาในต่างประเทศเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ( https://www.youtube.com/watch?v=aobxYfY-8p0) เช่นการลดภาระงานของภูมิคุ้มกัน(ปรับพฤติกรรมแย่ๆ)ก่อน แล้วกินสารที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน(เพิ่มภูมิคุ้มกัน) ดังนี้ก็จะสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า เมื่อร่างกายอ่อนแอโรคภัยก็รุมเร้า ร่างกายแข็งแรงโรคภัยก็ไม่มี เป็นสมการที่กลับไปกลับมาได้ โดยมีสมุนไพรดีๆเป็นตัวเร่งสมการให้ขับเคลื่อนไปหน้าหรือถอยหลังตามคุณภาพของสมุนไพรนั้นๆ
ติดต่อรายละเอียด
Tel. 081 4726987 (Dtac); 081 1639887(Ais)
email: panu009@gmail.com
https://web.facebook.com/chiangmaiassetworld/
Line Id: panu0010