กิจกรรมเสวนานิเวศประวัติศาสตร์ ใจกลางเวียงโบราณ"เวียงเจ็ดลิน"
บอก-กล่าว-เล่า-ขวัญ เวียงเจ็ดลิน 🏟️🟢🟤
เมืองโบราณสัณฐานกลม เชิงดอยสุเทพเชียงใหม่
พบกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ความสำคัญของเวียงเจ็ดลิน และรับฟังเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญที่จะพาคุณไปเข้าใจมิติใหม่แห่งเมืองโบราณของเชียงใหม่
.
• ทริปเวียงเจ็ดลิน นั่ง EV Tram ชมสถานที่สำคัญในเมืองโบราณสัณฐานกลม
• พิธีไหว้บอกกล่าวอารักษ์เวียงเจ็ดลิน
• ความคืบหน้าแผนแม่บทเวียงเจ็ดลิน
.
🟢 ล้อมวงเล่าขวัญ “เวียงเจ็ดลิน” หัวข้อ
• ความศักดิ์สิทธิ์และคุณค่าของเวียงเจ็ดลิน
• เวียงเจ็ดลิน : สถานภาพเมืองโบราณสัณฐานกลม จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
• พื้นที่นันทนาการ แหล่งเรียนรู้ และเชื่อมโยงท่องเที่ยวเชิงดอยสุเทพ - ปุย
วิทยากรโดย
• พระครูธีรสุตพจน์ (สง่า ธีรสํวโร) เจ้าอาวาสวัดผาลาด
• คุณพัลลภ แซ่จิว สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่
• อาจารย์ศักดิ์นรินทร์ ชาวงิ้ว ศูนย์วัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
• อาจารย์ภูเดช แสนสา อาจารย์พิเศษ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
.
🟢 เพลิดเพลินกับกิจกรรม Workhop
• ทำขนมวง ตาแหลว พิมเสนน้ำ
• ECO Brick จัดการขยะครัวเรือนไร้เหลือ
• วาดรูปต้นไม้และธรรมชาติ
.
🟢 พร้อมรับชมการแสดงฟ้อนเชิญขวัญเวียงเจ็ดลิน รับฟังดนตรีใต้ร่มฉำฉาใหญ่ อิ่มอร่อยกับอาหารพื้นเมืองหลากหลาย
.
📌 วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568
เวลา 8:00 -13:00 น.
ณ ตาน้ำเวียงเจ็ดลิน ในพื้นที่สำนักงานปศุสัตว์เขต 5 (เชิงดอยสุเทพ)
https://maps.app.goo.gl/HZNAoVCZYhM5g5326...
.
ผู้ร่วมงานแต่งกายชุดพื้นเมือง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดมุมมองใหม่และสัมผัสเสน่ห์ของเวียงเจ็ดลินไปด้วยกัน
เวียงเจ็ดลิน ในปัจจุบันมีถนนห้วยแก้ว ตัดผ่าน และเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่ง เช่น ศูนย์ธรรมชาติวิทยาดอยสุเทพเฉลิมพระเกียรติฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่ สวนสัตว์เชียงใหม่ องค์การส่งเสริมการโคนมภาคเหนือ (อสค.) โรงงานผลิตนมของโครงการโคนมไทย–เดนมาร์ก สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ สวนรุกขชาติห้วยแก้ว ศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ เป็นต้น
ลักษณะกายภาพเป็นที่ราบเชิงเขา มีพื้นที่สูงด้านตะวันตกและลาดเทมาทางตะวันออก พื้นที่ด้านตะวันตกสูงกว่าบริเวณอื่นมาก ทำให้ด้านนี้ไม่จำเป็นต้องมีคันดิน ส่วนด้านอื่น ๆ เป็นคันดินสองชั้น มีคูน้ำอยู่ระหว่างกลาง แต่ปัจจุบันบางแห่งถูกทำลายลง แต่คันดินที่สมบูรณ์จะอยู่บริเวณสวนรุกขชาติห้วยแก้ว ส่วนคันดินชั้นนอกถูกทำลายลงไปมากแต่ยังพอเห็นได้ในบางช่วง
รูปร่างของเวียงเจ็ดลิน เป็นรูปวงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 900 เมตร...
...เวียงเจ็ดลินก็ยังมีความสำคัญอยู่เสมอมา ด้วย “น้ำ” ที่เวียงเจ็ดลินนี้ ถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ อนึ่งได้รับน้ำจากดอยสุเทพ และ ศูนย์กลางของเมืองก็ยังเป็นแหล่งน้ำผุด และมีรสชาติโอชา ในสมัยของพญายอดเชียงราย ได้นำน้ำจากเวียงเจ็ดลิน มาทำน้ำอบเพื่อส่งไปเป็นน้ำสรงพระธาตุดอยตุง
ในสมัยของพระมหาเทวีจิระประภา พระไชยราชากษัตริย์แห่งอยุธยา ได้ยกทัพเพื่อที่จะมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ด้วยนโยบายทางการเมืองของพระมหาเทวี จึงได้ผูกไมตรีเป็นพันธมิตรกับพระไชยราชา และได้พาเสด็จมายังเวียงเจ็ดลินนี้ด้วยเช่นกัน
เวียงเจ็ดลินยังมีความสำคัญมาจนถึงสมัยของเจ้าเจ็ดตน ดังสมัยของเจ้าหลวงพุทธวงส์ (พ.ศ. 2369 – 2389) ก็มาประทับที่เวียงเจ็ดลิน ในระหว่างที่มีเคราะห์...
(ที่มา : wikipedia)
การดำเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน
สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ดำเนินการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน จำนวน ๓ ครั้ง ในปี พ.ศ.2541 พ.ศ.2552 และ พ.ศ.2562 โดยในปี พ.ศ.2541 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้ของเวียงหรือพื้นที่สวนรุกขชาติห้วยแก้ว ซึ่งพบหลักฐานการใช้พื้นที่ในสมัยล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-22
จากการดำเนินการศึกษาทางโบราณคดีทั้ง 3 ครั้งแสดงให้เห็นการใช้พื้นที่เวียงเจ็ดลินในสมัยล้านนา โดยไม่พบการใช้พื้นที่ในสมัยหริภุญไชยหรือสมัยก่อนล้านนาแต่อย่างใด มีเพียงชิ้นส่วนภาชนะดินเผาแบบหริภุญไชย ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบแหล่งเตาที่ผลิตอย่างชัดเจน จึงยังไม่สามารถกำหนดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์นี้ได้เช่นเดียวกัน โบราณสถานที่สัมพันธ์กับเวียงเจ็ดลิน จากการสำรวจทางโบราณคดีพบโบราณสถานใกล้กับเวียงเจ็ดลินในรัศมี 1 กิโลเมตร จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ วัดหมูบุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือภายในเวียงเจ็ดลิน และ วัดกู่ดินขาว ตั้งอยู่ห่างจากกำแพงเวียง/คันดินเวียงเจ็ดลินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 700 เมตร ปัจจุบันอยู่ภายในพื้นที่สวนสัตว์เชียงใหม่
จากการดำเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลินทั้ง 3 ครั้ง ยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ผลการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีร่วมกับเอกสารทางประวัติศาสตร์สามารถแบ่งช่วงเวลาของเวียงเจ็ดลิน ได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก : สมัยก่อนล้านนาหรือสมัยตำนาน โดยมีเพียงข้อมูลที่กล่าวถึงในตำนานเชียงใหม่ปางเดิมและตำนานสุวรรณคำแดง ที่ปรากฏเรื่องราวของฤาษีวาสุเทพและท้าวสุวรรณคำแดง แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีไม่พบหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับช่วงเวลาดังกล่าวได้ ซึ่งอุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล และพิพัฒน์ กระแจะจันทร์ นักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้น เสนอว่าเป็นการสะท้อนถึงการต่อสู้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวลัวะและชาวไทยโดยอาศัยเรื่องเล่า พิจารณาจากการสถาปนาชื่อเวียงเจ็ดลินเป็นเวียงเชฏฐบุรี ซึ่ง หมายถึงผู้พี่ คือชาวลัวะ ที่เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมก่อนการเคลื่อนย้ายมาของเชื้อสายชาวไทยคือท้าวสุวรรณคำแดง ช่วงที่สอง : สมัยพระญาสามฝั่งแกน คือช่วงที่มีการสร้างแปงเวียงเจ็ดลินขึ้น เป็นช่วงเวลาที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมีความสอดคล้องกัน ช่วงที่สาม : น่าจะเป็นช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยน่าจะมีการทำกิจกรรมในเวียงเจ็ดลินที่เกี่ยวข้องกับรัชสมัยพระมหาเทวีจิรประภา ทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดียังไม่สามารถวิเคราะห์ลักษณะการใช้งานพื้นที่เวียงเจ็ดลินได้อย่างชัดเจน ทำได้เพียงสันนิษฐานเบื้องต้นว่า การสร้างเวียงเจ็ดลินมีความจำเป็นต้องสร้างคูน้ำคันดิน เพื่อผลของการควบคุมน้ำที่ไหลผ่านจากที่สูงบนเขาลงมายังที่ต่ำกว่าบริเวณเชิงเขา เพื่อใช้ในการเกษตรกรรมและสำหรับการอุปโภคบริโภคภายในเวียงเจ็ดลิน
(ที่มา : https://www.finearts.go.th/fad7/view/44306-
เสวนา งาน บอก-กล่าว-เล่า-ขวัญ เวียงเจ็ดลิน
วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 9:30-11:00 น.
ณ ตาน้ำเวียงเจ็ดลิน สำนักงานปศุสัตว์เขต 5
ผู้ร่วมเสวนา
- พระครูธีรสุตพจน์ (สง่า ธีรสํวโร) เจ้าอาวาสวัดผาลาด
- คุณพัลลภ แซ่จิว สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่
- อาจารย์ภูเดช แสนสา อาจารย์พิเศษ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- อาจารย์ศักดิ์นรินทร์ ชาวงิ้ว ศูนย์วัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
พระครูธีรสุตพจน์ (สง่า ธีรสํวโร) เจ้าอาวาสวัดผาลาด
ขอถวายความเคารพนับถือมายัง พระอาจารย์วัดศรีโสดาที่ได้มาร่วมกิจกรรมและขอเจริญพรญาติโยมชาวเวียงเจ็ดลินทุก ๆ ท่านทั้งในส่วนของราชการ สถานศึกษา รวมถึงญาติโยมพ่อค้าแม่ค้า พี่น้องชาวบ้านลูกหลานเยาวชน ตั้งแต่ยอดดอยและเชิงดอย ที่ได้มาร่วมบุญกันในวันนี้ ในพื้นที่ ถ้าเราย้อนกลับไปบริเวณนี้ คือ พื้นที่ในตำนานที่ถูกกล่าวว่าเป็นที่ประทับของกษัตริย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ จากเดิมในบริเวณทั้งหมด ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เคยเป็นที่ฝังศพของชาวบ้าน ชาวลัวะ ถามว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร คือศักดิ์สิทธิ์ตรงที่อยากเอาบรรพชนที่ตายไปมาไว้ตรงนี้ที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมือนคนจีนเลือกฮวงซุ้ยให้กับปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ จึงเลือกทำเลที่ดีที่สุดเพราะจะส่งผลถึงอนาคตลูกหลาน ฉะนั้น การเลือกฮวงซุ้ยกับการเลือกฮวงจุ้ยจึงมีลักษณะคล้ายกัน คือ ถ้าได้ฮวงจุ้ยดี แม้กระทั้งคนตายไปแล้วเมื่อเอาไปไว้ในฮวงซุ้ยที่ดี จะส่งผลถึงอนาคตของชีวิต คนที่ตายไปก็จะไปอยู่สถานที่ดี นามสกุลที่ติดไว้ก็จะส่งผลต่อคนที่ใช้นามสกุลนั้น ๆ ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
ดังนั้น ที่เก็บร่างชาวลัวะ ณ ที่นี้ แม้ไม่ใช่เชื้อชาติคนศาสนาเดียวกัน แต่ลักษณะวิธีการทำบั้นปลายแห่งชีวิตมันทำให้เรารู้ว่า คนโบราณเลือกตรงนี้เป็นที่ฝังร่าง แสดงว่าที่นี่ดี แล้วมันส่งผลให้เวียงตรงนี้สมัยลัวะก็เป็นเวียงเจ็ดลิน และจากการอาศัยอยู่ที่นี่ทำให้เขาขยายธุรกิจการค้าของตน ลัวะค้าขาย ลัวะมีบุคลิกที่เก่งอยู่ 2 เรื่อง 1.ค้าขาย 2.รบ ถามว่าลัวะรบเก่งอย่างไร สมัยพญามังรายเอาชนะพม่าได้ที่เชียงแสน กับตีได้เมืองที่เวียงป่าเป้าก็ใช้ลัวะ เพราะชาวลัวะเก่งการรบบนภูเขา แล้วในขณะเดียวกันที่เขาทำธุรกิจการค้ารุ่งเรืองแล้วบนภูเขากับคนจีน จนเกิดตำนานความเชื่อว่า ท่านฤาษีที่เก็บมาจากรอยเท้ากวาง รอยเท้าช้าง รอยเท้าสัตว์ที่เก็บได้ ซึ่งจากรอยเท้าที่เก็บได้ ได้เด็กผู้ชายคนผู้หญิงคน เอามาเลี้ยงแล้วฤาษี โดยอธิฐานว่าถ้าเด็กเหล่านี้มีบุญขอให้มีน้ำนมไหลออกมาจากปลายนิ้วมือ พออธิฐานเสร็จก็มีน้ำนมไหลออกมาจากปลายนิ้วมือ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่นี่เป็นที่เลี้ยงวัวนม
พอเด็ก ๆ เหล่านั้นเติบโตขึ้นมา ฤาษีคิดว่าเด็ก ๆ ไม่ควรอยู่ที่นี้ต่อไป จึงสร้างเมืองให้ ได้แก่ เจ็ดลิน สวนดอก และเวียงหนองหล่ม ถ้าเรามาคิดว่า ฤาษีเก็บเด็กมาจากรอยเท้าสัตว์ คนโบราณอาจต้องการสื่อว่า คนเรามีความคิดที่ดี มีศีลมีธรรม ต่อให้เกิดมาจากรอยเท้าสัตว์ ไม่สำคัญ ต่อให้ถูกลดคุณค่าเท่าไหร่ก็ตามแต่ถ้าเขาเป็นคนดี มีศีลธรรม ก็สามารถเป็นเจ้าของบ้านเมืองได้
ในขณะที่ 2 คนเกิดจากรอยเท้ากวาง ถูกเลือกให้ไปอยู่ในทำเลที่ใกล้แหล่งทำมาหากินมากที่สุด แต่ด้วยความเจริญรุ่งเรืองของสองคนนี้ ทำให้ลืมตัวไปว่าเขาคือใคร วันหนึ่งพอรุ่งเรืองขึ้นมา คนในเมืองกลับคิดศีลธรรมพอแม่มาห้ามกลับทำร้ายแม่เพื่อคนรักของตน ด้วยความที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นสัตว์ที่ถูกชุบมาจึงหลงเหลือสัญชาติญาณอยู่ เมื่อเห็นแม่คนดังกล่าวจูงลูกชายหน้าตาดีมา จึงเกิดความชอบ ทำให้คำตัดสินเอนเอียง พระเจ้าแผ่นดินจึงบอกกับมารดาคนนั้นว่า “ท่านรู้ไหมทำไมระฆังถึงดัง เพราะลูกมันตี เพราะฉะนั้นลูกตีแม่จึงถูกต้องแล้ว” คำพูดของกษัตริย์คือกฎหมาย แต่แม่ไม่ยอมจึงไปหาพระฤาษี ท่านจึงมองเข้าไปในเมือง ดูดวงชะตา เสร็จแล้วจึงบอกกับแม่ผู้นั้นว่า ให้นอนพักที่นี่ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมาดู ท่านฤาษีหลังจากที่ใช้ญาณทิพย์ส่องดูเมืองพบว่าบนหลังคามีไอความร้อนระอุอยู่ เมื่อเทียบกับเมืองข้างเคียงที่มีความสงบสุข แสดงว่าเมืองนี้มีความทุกข์ ไม่ยอมพักผ่อนจุดไฟตลอดคืนทำให้เกิดไอความร้อน ปรากฏว่าคืนนั้นเกิดแผ่นดินไหว ( 10 ริกเตอร์ ) จนมารดาท่านนั้นตื่นขึ้นมาพบว่าเมืองล่มสลายไปแล้วเหลือแต่หนองน้ำ จึงเป็นที่มาของหนองหล่ม ลูก 3 คนหายไป 1 เมืองเพราะผิดศีลผิดธรรม ที่อยู่ตรงแจ่งศรีภูมิ แต่บางคนกล่าวว่าเป็นหนองเขียวหรือหนองบัว แต่ความเป็นจริง ฤาษีอาศัยอยู่บนดอยสุเทพคงมองไม่เห็นถึงลำพูน คงอยู่แถวนี้นั่นแหละ
ในขณะเดียวกันเวียงที่ยังคงรุ่งเรืองก็คือเวียงเจ็ดลินเพราะอยู่ใกล้พ่อ คือฤาษีทำให้มีศีลมีธรรม พอช่วงเวลาผ่านไป ชาวลัวะจึงรวมตัวกันว่าต้องรักและสามัคคีกัน จึงรวมกลุ่มกันได้ 9 ตระกูล ที่ไปสร้างเมืองใหม่ตามคำสั่งของฤาษี ที่บอกว่า ในอนาคตการค้าทางบกจะมีกำไรน้อยกว่าทางน้ำ ชื่อว่าเมืองนพบุรี เมื่อเกิดการค้าขายทำให้อยากรู้ว่า เมืองปลายน้ำมีวิถีชีวิตอย่างไร ฤาษีจึงส่งลูกสาวไปเรียน จึงล่องแพไป แต่ฤาษีกลัวจะเกิดอันตรายกับลูกสาว จึงขอให้เทวดาไปช่วย เทวดาจึงแปลงกายเป็นลิงตามไป ไปอยู่กับพระนางจามเทวีเรียนจนจบ และได้แต่งกับองค์ชายเมืองลพบุรี
โดยพระนางจามได้รับเงื่อนไขก่อนแต่งไว้ว่า จะต้องไปเคลียร์พื้นที่ที่ลพบุรีก่อน โดยจะต้องนำสินค้าทั้งหมดไปขายที่ลพบุรีให้ได้จึงจะได้แต่งงาน ในขณะนั้นพระนางทรงตั้งครรภ์อยู่ด้วย ซึ่งฐานความเจริญของพระนางจามเทวีอยู่ที่เวียงเจ็ดลิน จนกระทั่งหมดยุคของพระนาง หมดยุคของชาวลัวะ มาสู่สมัยของราชวงศ์เม็งราย ที่นี่ยังคงเป็นที่ประทับพักร้อนของกษัตริย์เสมอมา ในตำนานที่เกี่ยวข้องกับเวียงเจ็ดลิน ในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมาและพระเจ้าสามฝั่งแกน ที่นี่คือราชอุทยาน และเป็นที่รับแขก จากเดิมที่เวียงสวนดอกซึ่งกลายเป็นวัดไป พระเจ้าแสนเมืองมาและพระเจ้าสามฝั่งแกนจึงมาสร้างที่นี่ให้กลายเป็นที่พักร้อน
กษัตริย์สุโขทัยที่ตั้งใจจะมารบจึงมาขอกำลังเชียงใหม่ ตอนนั้นมีกษัตริย์มาขอกำลังเชียงใหม่เพื่อไปรบกับศรีสัชนาลัยและสุโขทัยคืนเจ้าเชียงใหม่จึงให้ไปนอนที่เวียงเจ็ดลินก่อน แล้วจึงถามหาพี่ชายว่าอยู่ที่ใด เจ้าเชียงใหม่จึงให้ไปอาบน้ำที่วัดผาลาดก่อน จึงมีตำนานที่กล่าวถึงการที่เทวดาดลใจให้อยากไปอาบน้ำที่ผาลาด แล้วพอไปอาบน้ำที่ผาลาดหลวงเกิดความเย็นใจ เหลียวมองลงไปด้านล่าง เห็นกำลังของเชียงใหม่ รุ่งเช้าจึงกลับเลย ไม่อยากรบเพราะเกิดความครั้นคร้ามในใจ
ดังนั้นเวียงเจ็ดลินจึงมีฐานะเป็น 1.ที่พักของฤาษี 2.ที่พักของกษัตริย์ 3.แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นห้วยแก้ว ห้วยชมภู ห้วยผาลาด ห้วยมณฑา ต่าง ๆ ประมาณ 6 ห้วย มีส่วนหนึ่งไหลลงพื้นดิน แล้วโผล่มาเป็นน้ำผุดกลางเวียงเจ็ดลิน ในฤดูฝน จึงเป็นที่มาของชื่อที่มีสายน้ำ 6 สาย และน้ำผุด 1 ในฤดูเข้าพรรษามีการบันทึกไว้ว่า “เดินออกจากแจ่งหัวลินก็ได้ยินเสียงน้ำตกที่ห้วยแก้วแล้ว นึกสภาพตามแล้วในสมัยก่อนน้ำตกห้วยแก้วต้องมีความสวยงามมากแน่นอน
สำหรับพระอาจารย์ 1. ที่มาของเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้และสายน้ำ วันนี้ร่องรอยแห่งความสมบูรณ์ยังคงอยู่ การที่จะฟื้นฟูตามความเห็นพระอาจารย์มี 2 เรื่อง 1. ที่ไปที่มา 2. ฟื้นฟูให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของเราทุกคน จะได้ช่วยกันดูแลเหมือนคนเฒ่าประจำเมือง
อาจารย์ภูเดช แสนสา อาจารย์พิเศษ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หลังจากที่ได้ฟังพระอาจารย์ได้พูดถึงเวียงเจ็ดลินในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องคติชน ผมจะขอเล่าในมุมมองประวัติศาสตร์ โดยเริ่มจากว่าแถบนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนดั้งเดิมคือกลุ่มลัวะ แต่ลัวะเนี่ยเราไม่อาจระบุชาติพันธุ์ได้ว่าลัวะ ประกอบด้วยคนเชื้อชาติใดบ้าง ซึ่งลัวะตามการอธิบายของที่ต่างๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งบางทีอาจหมายถึงใครก็ได้ที่อยู่มาก่อนหน้า จึงเป็นพื้นที่ดั้งเดิมที่ปรากฏบุคคลในตำนานคือขุนหลวงวิลังคะ หรือแหล่งความเชื่อเรื่องผีแต่เดิมอย่างปู่แสะย่าแสะ ที่อยู่ตีนดอยสุเทพ
นี่จึงเป็นลำดับแรกของการปรากฎถิ่นฐานของคนดั้งเดิมและเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญมาตั้งแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นบ่อแก้ว บ่อคำ บ่อเงิน บ่อเหล็ก ที่มีตำนานลัวะ 9 ตระกูลเฝ้าบ่อเงินบ่อคำเพราะว่า แถบนี้เป็นแหล่งทรัพยากรหมดเลย เช่น ดอยสุเทพ ชื่อเดิมคือดอยเงิน ดอยคำ ดอยแก้ว แถบนี้จึงเป็นทรัพยากรหลัก และอย่างที่ 3. เป็นพื้นที่ร่วมสมัยที่เป็นพื้นที่อุทยาน คืออุทยานมีอยู่ 2-3 ผืน แห่งแรกคือ ที่วัดสวนดอก แห่งที่สองคือที่นี่ แห่งสุดท้ายคือที่บริเวณวัดบุพพาราม ในสมัยพระเจ้าติโลกราช
ผมขอพูดความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ คือ 1. เป็นที่อยู่อาศัยของคนดั้งเดิมคือกลุ่มลัวะ ซึ่งไม่ได้หายไปไหน แค่หลอมรวมจนกลายเป็นคนเมืองในปัจจุบัน ตั้งแต่ตีนดอยไปถึงบ้านเมืองก่ะ จนไปถึงสายใต้ ซึ่งความมีความแตกต่างของการกลมกลืนทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน ตรงแถวนี้จะถูกกลืนสูง แต่ที่ไม่ถูกทิ้งไปเลยคือการทำพิธีกรรม เช่น ปู่แสะย่าแสะ และหน้าที่บางประการที่ได้รับมา ดอยทางเหนือเป็นที่อยู่ของลัวะที่ทำหน้าที่เป็นข้าพระธาตุดอยสุเทพ โดยมีกลุ่มผู้นำได้แก่พญาใจธาตุ ซึ่งปัจจุบันกระดูกของท่านก็อยู่ที่วัดฝายหิน เพราะแต่ก่อนที่ครูบาจะทำถนนขึ้นดอย วัดพระธาตุดอยสุเทพไม่มีคนอยู่ และมีการทำกิจกรรมในบางช่วงเท่านั้น จึงต้องมีการปัดกวาดเข็ดถูอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็คือชาวลัวะที่ฝายหิน ได้แก่พญาใจธาตุ ต่อมาคือทางสายใต้ทางเชื้อสายของพญาชัยชนะมงคล ลูกหลานพญามุงเมฆ จะเป็นกลุ่มที่ดูแลปู่แสะย่าแสะ ทำให้ชาวลัวะในแถบนี้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
ก่อนที่ปู่แสะย่าแสะจะรวมกัน ปู่แสะอยู่ที่ฝายหิน ย่าแสะอยู่ดอยคำ ในสมัยครูบาหลวงวัดฝายหินมีตำนานว่า ครูบาเป็นพระที่มีญาน จึงบอกชาวบ้านว่า ในอนาคตแถบนี้จะมีลูกหลานมาอยู่อาศัยเยอะขึ้น การจะฆ่าควายแถวนี้ดูจะไม่เหมาะสม อย่างที่ 2 คือท่านมีสมณศักดิ์ถึงเถระประจำเมือง การฆ่าควายที่ตีนวัดอาจจะไม่เหมาะสม ชาวบ้านจึงถามกลับไปว่าถ้าไม่ให้ไหว้ที่นี่จะให้ทำอย่างไร ครูบาจึงบอกว่า ผัวเมียควรอยู่ด้วยกัน จึงมีการทำพิธีเชิญปู่แสะอ้อมเมืองไปอยู่ที่ดอยคำ แล้วนำพระบทเก็บไว้ที่วัดพระสิงห์ เวลาที่จะทำพิธีจึงจะมีการแห่รอบเมืองเชียงใหม่ก่อนไปที่ดอยคำ เลยทำให้สองพื้นที่มีความสัมพันธ์กัน มักจะเรียกคู่กัน เช่น ดอยเงินดอยคำ ดอยเหนือดอยใต้ หัวดงหางดง ตามชื่ออำเภอหางดง เพราะความเป็นพื้นที่เดิมของคนลัวะมาก่อน ขุนหลวงวิลังคะเลยกลายมาเป็นตัวแทนของประมุขหรือกษัตริย์ลัวะในแถบนี้ จึงเกิดเป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวีขึ้นมา และเจ้าหลวงสุวรรณคำแดง ด้วยความที่พื้นที่นี้เป็นแหล่งทรัพยากร บริเวณพื้นที่ดอยเหล็กมีการพบว่าถูกใช้ในการผลิตเหล็กมากว่า 400 ปี ส่วนเจ้าสุวรรณคำแดง ที่สันนิษฐานว่าเป็นคนไต ที่มีตำนานว่าตามกวางไปถึงถ้ำหลวงเชียงดาว จึงกลายเป็นผีใหญ่ของเมืองเชียงใหม่
ชาวลัวะขึ้นชื่ออยู่แล้วในด้านของการดูแลทรัพยากรและการทำเหล็ก จึงได้รับหน้าที่ในการเฝ้าบ่อต่าง ๆ และมีการค้าขายแลกเปลี่ยน บ่อแรกคือบ่อดอยหลวง บ่อที่สองคือบ่อดอยสุเทพขุนน้ำผาดำ บ่อที่สามคือบ่อแก้วเพราะมีแก้วมีคงคามเยอะ และมีเหล็กที่ทีสุด เพราะฉะนั้น 3 ขุนหลวงของลัวะ คือพื้นที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ของเมืองเชียงใหม่ ลัวะบอกว่าที่ใดมีขุนน้ำใหญ่ที่นั้นมีแผ่นดินของเรา
โดยน้ำมีความสำคัญสำหรับเวียงเชียงใหม่ ถ้าท่านจินตนาการตอนนี้ท่านอยู่ในเวียงที่สูงที่สุด คือเวียงเจ็ดลิน ถัดไปเป็นแหล่งเก็บน้ำสำคัญใน มช. มี 2 คันดิน คือ สนามยิงธนูและข้าง ปตท. ที่เป็นจุดบังคับน้ำ จนถึงบริเวณกาดต้นพยอม เลี่ยงเวียงสวนดอก ถัดไปคือเวียงสวนดอก ที่เป็นสี่เหลี่ยม ถัดไปจึงเป็นเวียงศูนย์กลางอย่างเวียงเชียงใหม่ ถัดไปทางเหนืออย่างเวียงบัวหรือเวียงเชียงโฉม เวียงเจ็ดลินคือ เวียงที่ผันน้ำไปเวียงอื่น ๆ ก่อนลงไปที่คลองแม่ข่า ผ่านห้วยแก้ว สายหนึ่งไหลลงไปที่แจ่งหัวลิน อีกสายลงฮ่องกระแจ๊ะอ้อมเวียงเชียงใหม่ไปลงคลองแม่ข่า อีกสายผันไปที่เวียงแก้ว เพราะฉะนั้นลินคำก็เป็นที่อยู่ของเจ้านาย ที่มีการต่อน้ำเพื่อไปใช้ประโยชน์ และอีกสายหนึ่งไปลงที่สาธารณะสุขจังหวัด เลี้ยงเวียงสวนดอก อีกสายหนึ่งลงไปที่ฮ่องม่านต่อไปยังลำคือไหว ลงไปยังแม่ข่า และสบแม่ข่า ลงไปยังน้ำปิง ซึ่งปัจจุบันถูกตัดตอนไป
ดังนั้น ในพื้นที่นี้จึงเป็นต้นน้ำ น้ำที่ผุดออกมาจึงเป็นสะดือของเวียง ที่เป็นศูนย์กลาง อดีตสะดือไม่ใช่หลักเมืองหรืออินทขีล แต่คือหลุมลึกหรือบ่อน้ำ คือบ่อที่เจดีย์ 8 เหลี่ยม ตามตำนานเมืองน่านกล่าวว่า เมืองเชียงใหม่เกิดอาเพศ คืองูตกลงไปในน้ำบ่อ แล้วมีกบมีเขียดขี่บนหลังงู หลังจากนั้นไม่นานพระมหาเทวีก็สุรคต นั่นหมายความว่าจุดสะดือเมืองตรงนั้นคือจุดที่บอกได้ว่าลางไม่ดีของบ้านของเมือง คล้าย ๆ กับบ่อน้ำของเวียงเจ็ดลิน อีกประการหนึ่งคือเป็นที่ประทับของกษัตริย์ในฤดูร้อน โดยจะมีคุ้มมีวังอยู่ที่เวียงเจ็ดลิน โดยเฉพาะองค์ที่สำคัญเลยก็คือพญาสามฝั่งแกน ที่มาอยู่เป็นประจำ จนพระเจ้าติโลกราชสามารถมาตีเวียงแก้วได้ แสดงว่าพระองค์มาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นประจำ เพราะอดีตมีที่พักหลัก 3 จุด ได้แก่ วัดสวนดอกตั้งแต่สมัยพญามังราย เวียงเจ็ดลินตั้งแต่สมัยพญาสามฝั่งแกน ต่อมาคือบุพพารามตะวันออกท่าแพ ซึ่งถูกตั้งเป็นวัดในสมัยพระเมืองแก้ว
ซึ่งจากความสำคัญที่เป็นจุดแปรพระราชฐาน น้ำที่เชื้อพระวงศ์เสวยจึงเป็นน้ำที่มาจากบ่อนี้ ถือว่าเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ เพราะน้ำนี้มีความอร่อย มีรสชาติหวานตามความเชื่อสมัยก่อน...Θ
...จากตำนาน มุขปาฐประวัติศาสตร์ ทั้งในเอกสารชั้นต้นจนถึงการขุดค้นทางโบราณคดีล่าสุด
เวียงเจ็ดลินยังมีเรื่องราวให้สืบค้น วิคราะห์หรือการสร้างสมมุติฐานทางประว้ติศาสตร์ใหม่ๆได้อีกมากมายหลายประเด็น
พร้อมๆไปกับการเติบโตและเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเมืองเชียงใหม่ เขียวสวยหอมและเครือข่ายยังคงเจตนารมณ์ในการนำเสนอรากเหง้าความเป็นมาของชุมชน การศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว นัยะบทบาทของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ กิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบของสิ่งแวดล้อม รวมทั้งศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยคำนึงถึงปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ...